ตอนที่ 153 คุณสมบัติของผู้สืบทอด - Martial Peak
Aa+
Aa-
reset

ตอนที่ 153 คุณสมบัติของผู้สืบทอด

749389d1c1007481fd6ae39e845b264c.jpg
ในขณะที่กำแพงหิมะน้ำแข็ง แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ บนจุดสูงสุดของบันไดสีทองมีเสียงตะโกนคำรามด้วยความเกรี้ยวโกรธของเจี่ยหงเฉิน
เขาสูญเสียพละกำลังทางด้านร่างกายและจิตวิญญานเป็นจำนวนมากถึงจะสามารถเดินปีนป่ายมายังจุดสูงสุดของบันไดสีทอง เหลือระยทางเพียง 5 จ้าง ก็จะถึงจุดมุ่งหมายที่เขาคาดหวังเอาไว้ แต่เขาไม่คิดว่าสายลมอันอ่อนโยนพัดพาเข้ามาอย่างฉับพลัน ภายใตสายลมอันอ่อนโยนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาเสมือนสิ่งที่เกิดขึ้นกับสองพี่น้องตระกูลหู่ เขาถูกสายลมอันอ่อนโยนนำพาไปยังพื้นดินเบื้องล่างโดยมิอาจควบคุมได้
“ไม่ ! ” เจี่ยงหงเฉินตะโกนปฏิเสธ เขายื่นสองมืออกไป เสมือนว่าต้องการยืดเหนี่ยวบันไดขันสุทด้ายเอาไว้ เพื่อให้ตนเองยังติดอยู่ภายในบันไดสีทองแห่งนี้
แต่ไม่เป็นอย่างที่เขาต้องการ บันไดสีทองเหล่านั้นค่อยห่างจากตนเองเรื่อยๆ เรื่อยๆ
“ไม่ ! ” เจี่ยหงเฉินตะโกนคำรามด้วยความโกรธอย่างสุดขีด
เป็นเวลากี่วันที่ต้องอดทนและทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อการทดสอบนี้ เหลือเพียงไม่กี่ก้าวเขาก็จะไปถึงจุดหมายที่ตนเองเฝ้าเพียรพยายามมาตลอด
แต่ไม่คิดว่าในช่วงเวลาสุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างที่เฝ้าเพียงพยายามจะพลันหายไปในทันที สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา แต่มีคนคนหนึ่งที่ไปถึงจุดหมายก่อนเขานั้่นเอง
มรดกแห่งฟ้าสวรรค์มีเพียงผู้สำเร็จเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้รับ ดังนั้นเขาจึงถูกตีตราว่าเป็นคนพ่ายแพ้ และถูกสายลมอันอ่อนโยนพัดโชยลงมายังเบื้องล่าง
เป็นใครกัน !ดวงตาของเจี่ยหงเฉินแดงก่ำด้วยความเกรี้ยวโกรธและประกายด้วยร่างเงาของคนคนหนึ่ง คนที่มีความเป็นไปได้ที่จะไปถึงเป้าหมายก่อนเข้ามีเพียงซู่เหยียนเพียงคนเดียวเท่านั้น
เป็นนางใช่ไหม ? จิตใจที่ไม่ยอมรับในความพ่ายแพ้ของตนเองค่อยๆต่ำลง แต่มันยังรุนแรงเหมือนเช่นเคย
หลังจากที่เขาฟื้นคืนสติจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เจี่ยหงเฉินพบว่าตนเองได้มายังสถานที่แห่งหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก สถานที่แห่งนี้น่าจะยังคงเป็นภายในท้องฟ้าแห่งมรดกฟ้าสวรรค์ แต่ว่าริบบริเวณทั้ง 4 ทิศไร้ซึ่งเงาร่างของผู้คน เจี่ยหงเฉินยืนอยู่ตรงที่เดิมเป็นเวลานาน ก่อนจะแสะยิ้มที่มุมปากอย่างเยือกเย็น : “ซู่เหยียน
หากว่าเจ้าเป็นผู้ที่ได้ครอบครองมรดกแห่งฟ้าสวรรค์ หากเป็นเช่นนั้นข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าเป็นอันขาด ”
เจี่ยหงเฉินถูกสายลมอันโยนพัดพาส่งตัวลงมา และยังมีศิษย์สาวกคนอื่นๆที่ตอ้งประสบกับเหตุการณ์เช่นเดียวกับเขา แต่สิ่งที่น่าแปลก คนเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์สาวกชายทั้งสิ้น เสมือนเหตุการณ์ที่ศิษย์สาวกหญิงเพิ่งพบเจอ
แต่มั้นแตกต่างจากศิษย์สาวกหญิงเหล่านั้น พวกเขาถูกปล่อยตัวไปยังรอบบริเวณอาณาเขตของถ้ำสวรรค์แห่งมรดกฟ้าสวรรค์ ศิษย์สาวกจำนวนมากที่พบเจอกับเหตุการณ์เหล่านี้ ต่างลุกขึ้นและเริ่มค้นหาทิศทางของตนเอง
ในเมื่อไม่ได้ครอบครองมรดกแห่งฟ้าสวรรค์ หากเป็นเช่นนั้นการค้นหาสมบัติในถ้ำสวรรค์แห่งมรดกฟ้าสวรรค์จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะได้รับสมบัติวิเศษกลับไปก็เป็นได้
บนชั้นเมฆที่สูงลิ่ว ตำหนักอันงดงามเปิดเผยอยู่ตรงหน้าของหยางไค่ ประตูอันมหึมาค่อยๆเปิดออก เสมือนว่ากำลังต้อนรับการมาเยือนของหยางไค่
หยางไค่มิได้เดินหน้าต่อไป เขายังคงยืนหยัดตรงตำแหน่งเดิมอย่าง หลับตาเพื่อสัมผัสสิ่งที่ตนเองได้รับและสูญเสียในระหว่างทางที่เดินทางมายังตำหนักอันงดงามแห่งนี้
หากว่าด่านทดสอบแรกเป็นการทดสอบความอดทนของจิตใจ ด่านทดสอบที่สองที่มีขั้นบันไดเพียง 100 ขั้นเป็นด่านทดสอบที่ทดสอบการความสามารถในการควบคุมพลังหยาง
มีเพียงการควบคุมคลื่นสีแดงแห่งพลังหยางจึงจะสามารถทำลายกำแพงผลึกหิมะน้ำแข็งในขั้นสุดท้าย
เขายืนนิ่งเป็นเวลานาน ก่อนจะยิ้มด้วยความดีใจ เขารีบก้าวไปข้างหน้า แต่ทันใดนั้น เขารู้สึกอย่างชัดเจนว่าพลังลมปราณหยางที่อยู่ภายในร่างกายของเขามีการเปลี่ยนแปลอย่างกะทันหัน
เมื่อเดินผ่านประตูอันมหึมา เดินข้าสู่ตำหนัก ต้นกำเนิดพลังหยางที่อยู่บนทรวงอกเกิดปฏิกิริยาตอบโต้ที่รุนแรงอย่างถึงขีดสุด
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่ต้นกำเนิดพลังหยางบนทรวงอกสัมผัสกับพลังหยางในครั้งแรก จากพลังหยางที่อ่อนแอและแข็งแกร่ง มันจะให้ปฏิกิริยาตอบสนองที่แตกต่างกัน แต่ว่ามันไม่เคยแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ที่รุนแรงเช่นนี้มาก่อน มันรุนแรงแข็งแกร่งจนทรวงอกของหยางไค่ร้อนระอุในทันที
หยางไค่แสดงออกด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม เขาเดินไปยังทิศทางของต้นกำเนิดพลังหยางด้วยท่าทีที่สง่างาม
หลังจากที่เดินออกไปได้สักระยะ กลางอากาศที่ห่างจากเบื้องล่างประมาณ 10 จ้าง มีคลื่นพลังสีแดงและสีขาวที่มีรูปร่างวงกลมเสมือนลูกบอลไฟที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ลอยสลับหมุนวนอยู่บนกลางอากาศนั้นอย่างแข็งแกร่ง
เป็นเพราะคลื่นพลังที่ยิ่งใหญ่นี้ จึงทำให้ต้นกำเนิดพลังลมปราณหยางของเขาเกิดปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรง
แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือ พลังที่แฝงอยู่ในคลื่นพลังวงกลมนี้ไม่ได้มีพลังหยางที่ร้อนแรงแต่มันยังมีพลังหยินที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นที่ทิ่มแทงเข้าสู่กระดูกภายในร่างกาย
พลังสองชนิดที่แตกต่างกันต้องผสมผสานอยู่เคียงข้างซึ่งกันและกัน แต่พวกมันกลับหมุนวนอยู่บนกลางอากาศอย่างกลมกลืมกัน โดยไม่มีการต่อต้านซึ่งกันและกันแม้แต่น้อย
ภายในคลื่นพลังวงกลม ประกายด้วยรูปร่างที่พร่ามัว หยางไค่จ้องเขม่งอย่างไม่วางตาและตกตะลึงกับสิ่งที่มองเห็น
มันคือดรูปร่างแห่งดวงตราประทับแห่งมังกรเพลิงและหงสาเมฆาเยือกเย็นแห่งสวรรค์ชั้นฟ้า ที่ปรากฏเมื่อถ้ำสวรรค์แห่งมรดกฟ้าสวรรค์ถูกเปิดออก ในครั้งแรก โดยมิผิดเพี้ยน
มันคือมรดกแห่งฟ้าสวรรค์ ? หยางไค่หรี่ตาลงด้วยความสงสัย
ในขณะที่กำลังหรี่ตาจ้องมองด้วยความสงสัย หางตาของหยางไค่พลันมองเห็นร่างมนุษย์ที่อยู่ในชุดสีขาวโดยไม่มีการเคลื่อนไหว แต่เพียงพริบตา ดวงตาของร่างเงาสีขาวได้ประสานกับดวงตาของเขาในทัันที
หยางไค่มองไปยังร่างเงาสีขาวนั้นด้วยความตื่นตะลึงอีกครั้ง
“ซู่เหยียน ?” หยางไค่ไม่คาดคิดว่าในสถานที่ที่น่าอัศจรรย์นอกจากเขาแล้วยังจะมีบุคคลอื่น และบุคคลนี้ก็คือซู่เหยียน ยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว
ในตอนนี้นางกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องล่างของคลื่นพลังวงกลามสีขาว ร่างกายของนางในตอนนี้ขาวบริสุทธุ์เสมือนหิมะ และยังเต็มไปด้วยความเยือกเย็นแห่งธรรมชาติที่สง่างามอย่างล้ำค่า
“เป็นเจ้า” ดวงตาของซู่เหยียนประกายด้วยความแปลกใจ ในขณะเดียวกันดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยที่มิอาจหาข้ออธิบายได้ถูกไขอย่างกระจ่างเมื่อหยา่งไค่มาถึงสถานที่แห่งนี้
หยางไค่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เมื่อพบเจอกับศิษย์ใหญ่ในสถานที่แห่งนี้ มันทำให้หยางไค่รู้สึกไม่คาดฝันและรู้สึกสนิทสนมอย่างสุดซึ้ง เขารีบก้าวเดินเข้าไปและหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าของซู่เหยียน
เขาเงยหน้ามองไปยังคลื่นพลังวงกลมสีแดงและสีขาว และมองไปยังซู่เหยียนพร้อมกล่าวถาม “ท่านเข้ามายังสถานที่แห่งนี้เป็นเวลานานแล้วหรือยัง ?”
“ประมาณ 4-5 วัน” ซู่เหยียนกล่าวตอบอย่างราบเฉย สุ้มเสียงเยือกเย็น โดยไม่แสดงออกถึงความสนิทสนมเหมือนเช่นเคย
“4-5 วัน !” หยางไค่กล่าวพึมพำอย่างไม่เชื่อ และชื่นชมอยู่ภายในใจว่าสมแล้วที่นางเป็นศิษย์อันดับหนึ่งแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว 4-5 วันที่แล้ว เขาเพิ่งแยกจากสองพี่น้องแห่งตระกูลหู่ในเวลานั้นเขาเพิ่งเดินปีนป่ายบันไดสีทองได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น แต่นางกลับมาถึงสถานที่น่าอัศจรรย์แห่งนี้แล้ว
ส่วนที่เหลือของการเดินทางของเขาจากการเดินทางของพวกเขาใช้เวลา 45 วัน การคิดว่าเธอจะประสบความสำเร็จในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นทำให้ตกใจมากกว่าคำพูด
ความเร็วในการเดินปีนป่ายขั้นบันไดสีทองนั้นว่องไวและรวดเร็วกว่าเขาถึงหลายเท่าหลายเท่า
สิ่งที่หยางไค่ไม่ทราบ เพราะว่าซู่เหยียนผ่านการทดสอบ จนสามารถก้าวเข้ามายังตำหนักที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ จึงทำให้ศิษย์สาวกหญิงทั้งหมดถูกสายลมอันอ่อนโยนพัดพาไปยังเบื้องล่าง
ง และเมื่อเขามาถึงตำหนักแห่งนี้ ศิษย์สาวกชายที่ยังเดินปีนป่ายอยู่ในขั้นบันไดสีทองจึงถูกสายลมอันอ่อนโยนส่งตัวลงไปยังเบื้องล่างเช่นเดียวกัน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือตำหนักแห่งนี้เหลือเพียงพวกเขา 2 คนเท่านั้น
“นั่งลงค่อยซิ” ซู่เหยียนกล่าวเชื้อเชิญ
หยางไค่พยักหน้าเบา ก่อนจะนั่งขัดสมาธิตรงข้ามกับนาง
เมื่อหยางไค่เลือกที่จะนั่งใกล้กับนาง ทำให้สีหน้าของซู่เหยียนแปรเปลี่ยนเป็นความอึดอัด แต่หลังจากนั้นไม่นานสีหน้าของนางได้กลับกลายเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองจ้องมองซึ่งกันและกันเป็นเวลานานโดยไม่กล่าวสิ่งใด ทันใดนั้นหยางไค่หัวเราะขึ้นมาและเอ่ยปากกล่าว : “ข้าปีนป่ายขั้นบันไดสีทองกว่าหลายหมื่นขึ้น จึงมาถึงสถานที่แห่งนี้ ภายใต้ขันบันไดกว่าหมื่นขั้น ทุกๆ 500 ขั้นพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในขั้นบันไดสีทองจะแปรเปลี่ยนไป โดยสลับความเยือกเย็นและความร้อนระอุ เพื่อขัดขวางการเดินปีนป่ายของศิษย์สาวก ภายใต้บันได 100 ขั้นนั้น ข้าได้รวบรวมพลังหยางที่ร้อนระอุจำนวน 99 ขั้นจึงสามารถทำลายกำแพงหิมะน้ำแข็งที่เยือกเย็นได้ ”
ซู่เหยียนกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน : “ข้าได้ก้าวผ่านบันไดสีทองกว่าหมื่นขั้นเช่นเดียวกัน และข้าได้ก้าวผ่านบันได 100 ขั้น แต่ว่าอยู่ในสถานที่แห่งนั้น ข้ารวบรวมพลังหยินแห่งความเยือกเย็นทั้งหมด 99 ขั้นจึงสามารถผนึกทะเลแห่งเปลวเพลิงที่ร้อนระอุได้ ”
เมื่อซู่เหยียนยิ้มเช่นนี้ เสมือนว่าอาณาจักรแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยความแห้งแล้งและถูกปกลคลุมด้วยหิมะที่หนาวเหน็บได้ มีสายลมที่อ่อนโยนและอบอุ่นพัดผ่านไปยังอาณาจักรแห่งนั้น ทำให้หิมะที่ปกคลุมอาณาจักรที่แห้งแล้งถูกทำลายในทันที ต้นหญ้าบุพผาทั่วอาณาจักรต่างผลิบานด้วยอย่างอบอุ่น ทั่วอาณาจักรต่างเต็มไปด้วยความอบอ่นุที่มิอาจพรรณนาได้
หยางไค่จ้องมองเสมือนว่าจิตวิญญานของตนเองกำลังหลุดลอย ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่สบายและปลอดโปร่งอย่างถึงที่สุด
ขนตาเรียวยาของซู่เหยียนประกายไปมาหลายครั้ง ก่อนที่นางจะหลบสายตาของหยางไค่อีกครั้ง
“ข้าไม่เคยทราบมาก่อน ว่ารอยยิ้มของท่านจะงดงามและมีเสน่ห์ที่น่าลุ่มหลงเช่นนี้ ” หยางไค่กล่าวชื่นชมโดยมิอาจซ่อนเร้นความคิดของตนเองได้
“ข้าและเจ้าไม่ได้สนิทสนมกัน” ใบหน้าของซู่เหยียนประกายด้วยสีแดงระเรื่อ สีหน้าของนางก็ได้เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
“ครั้งแรกอาจจะเป็นเพียงคนแปลกหน้า แต่ครั้งที่สองอาจเป็นคนที่สนิทสนมกัน” เมื่อเผชิญหน้ากับนางเซียนที่ศิษย์สาวกทั้ง 3 สำนักต่างเคารพและชื่นชม หยางไค่มิได้มีความรู้สึกที่กดดันแต่กลับยิ้มและแกล้งหยอกล้อนางอย่างมีความสุข
ซู่เหยียนไม่ต้องการหยอกล้อกันเขาต่อไป นางจึงกล่าวอย่างเคร่งขรึม : “ข้าจะกล่าวความคิดเห็นและวิธีการของเขา เจ้าเป็นคนรับฟัง หากว่ามีจุดไหนที่ไม่เห็นด้วย และไม่ถูกต้อง ให้กล่าวบอกแก่ข้า ”
“อืม ” หยางไค่พยักหน้าอย่างจริงจัง เขาทราบดีว่าสิ่งที่ซู่เหยียนกำลังจะกล่าวเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของมรดกแห่งฟ้าสวรรค์ เพราะนางมาถึงตำหนักที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นเวลากว่า 4-5 วัน เรื่องราวที่นางทราบต้องมากกว่าตัวเขาอย่างแน่นอน
เมื่ออยู่ในท่าทีที่สงบ ซู่เหยียนจึงเริ่มกล่าว : “พวกเราต่างเข้าใจผิดเรื่องราวทั้งหมดอย่างมหันต์ ศิษย์สาวกทั้ง 3 สำนักต่้างเข้าใจว่าสถานที่แห่งนี้มีเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้ครอบครอง แต่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สถานที่แห่งนี้เป็นมรดกของคนสองคน บันไดสีทองที่มีขั้นบันไดที่มากมายนับไม่ถ้วนเป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างชัดเจน สถานที่แห่งนั้นไม่ใช่สถานที่ทดสอบจิตใจและความอดทน แต่มันยังเป็นการเฟ้นหาผู้ที่จะได้รับสืบทอดมรดกแห่งฟ้าสวรรค์นี้อีกด้วย ”
หยางไค่พยักหน้า ในจุดนี้เขาก็คิดเช่นเดียวกันซู่เหยียน แต่ที่ผ่านมาเขาเพียงแค่คาดเดาแต่ไม่กล้าที่จะยืนยัน
“ด่านทดสอบในครั้งที่ 2 ข้าและเจ้าพาลพบกับสิ่งที่แตกต่างกัน สิ่งที่ทดสอบพวกเราทั้งสองคือความสามารถในการควบคุมพลังหยินและพลังหยาง มีเพียงคนที่ผ่านการทดสอบทั้ง 2 ด่าน จึงสามารถเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ ” ซู่เหยียนรวบผมที่ยาวสลวยของนาง ก้มศีรษะลงต่ำ เผยให้เห็นลำคอที่ขาวเนียนของนาง และกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา : “ก่อนที่เจ้าจะมาถึง ข้ายังไม่กล้าที่จะยืนยันในสิ่งที่ข้าคาดเดาเอาไว้ แต่หลังจากที่มองเห็นเจ้ามาถึงสถานที่แห่งนี้ ข้าจึงเข้าใจสิ่่งต่างที่เกิดขึ้น เจ้ามองเห็นสิ่งที่อยู่เหนือศีรษะของพวกเราใช่ไหม ?”
หยางไค่พยักหน้าตอบรับ
“ระยะเวลา 4-5 วันที่ผ่านมา ข้าคิดหาวิธีต่างๆในการดูดซับพลังของมัน แต่มันเกิดผลเลยสักนิด มันปฏิเสธการกระทำของข้ามาตลอด หากว่าการคาดเดาของข้าไม่ผิด พวกเราทั้งสองต้องลงมือพร้อมกัน จึงจะสามารถเชื่อมผสานไปยังมัน และเป็นผู้ที่ได้ครอบครองมรดกแห่งฟ้าสวรรค์นี้ !!!!”
ซู่เหยียนกล่าวอย่างง่ายดาย แต่มันชัดเจนที่สุด
“เจ้าทำอย่างไร ?” หยางไค่ฟังจบและกล่าวถาม
การสืบทอดมรดกแห่งฟ้าสวรรค์ไม่ใช่เรื่องของคนคนหนึ่ง แต่มันเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกับตัวเขาและซู่เหยียน ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามก็ไม่สามารถที่จะตัดสินใจได้เพียงผู้เดียว
ไม่มีใครทราบว่าหลังจากที่พวกเขาทั้งสองได้รับมรดกแห่งฟ้าสวรรค์แล้ว ความสัมพันธุ์ของทั้งสองจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ เพราะมรดกแห่งฟ้าสวรรค์เป็นของคนสองคน เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาคงไม่ห่างเหินกันเหมือนในเวลานี้
สำหรับหยางไค่ เขายินดีและดีใจที่จะได้รับการแบ่งปันจากซู่เหยียน ศิษย์พี่ใหญ่ที่เยือกเย็นคนนี้ ภายนอกของนางเยือกเย็นแต่ภายในค่อนข้างอบอุ่น นางเป็นคนดี แน่นอนว่าหยางไค่ไม่มีทางที่จะปฏิเสธนาง
ในตอนนี้ต้องรอฟังความคิดเห็นของซู่เหยียนเพียงคนเดียว
หากว่าซู่เหยียนไม่เต็มใจที่จะร่วมกันรับมรดกแห่งฟ้าสวรรค์นี้ หยางไค่ก็จะไม่ฝีนบังคับนางอย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าซู่เหยียนคิดคำนึงถึงจุดนี้ สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความสงสัยและความลังเล นางไม่ทราบว่าหลังจากที่นางและหยางไค่ได้สืบทอดมรดกแห่งฟ้าสวรรค์นี้แล้วความสัมพันธุ์ของพวกเขาทั้งสองจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่เมื่อหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่หยางไค่ช่วยเหลือตนเองจากสัตว์อสูร ทำให้ความสงสัยและความลังเลของเขาเริ่มบรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากนั้นไม่นาน ในขณที่หยางไค่กำลังครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบ ซู่เหยียนพยักหน้าอย่างช้าๆ นางจ้องมองหยางไค่อย่างไม่วางตา เสมือนว่าไม่อยากละทิ้งการแสดงออกของสีหน้าของหยางไค่แม้แต่นิดเดียว ในที่สุดนางจึงกล่าวด้วยความเด็ดขาด : “หากว่าข้าจะบอกว่า ข้าไม่อยากพันธุ์ผูกกับใครเพียงเพราะพลังที่อยู่ภายนอกร่างกาย แม้ว่ามันจะเป็นมรดกแห่งฟ้าสวรรคื์ก็ตาม ”!เจ้าจะผิดหวังไหม?
หยางไค่ลังเลสักครู่ก่อนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม : “นิดนึง ”
สีหน้าของซู่เหยียนมืดมัวลง
“แต่ข้าจะเคารพการตัดสินใจของเจ้า เจ้ามีอิสระของเจ้า ข้ามีอิสระของข้าเช่นเดียวกัน หากว่าเจ้าไม่ต้องการ งั้นก็ไม่ต้อง” สีหน้าของหยางไค่นิ่งสงบ เขาค่อยๆลุกขึ้น และกล่าวต่อซู่เหยียน : “ หากว่าเจ้าไม่ต้องการจริงๆ งั้นพวกเราออกไปจากที่นี้กันเถอะ ”
“ไปไหน?” ซู่เหยียนเงยหน้ากล่าวถาม การกระทำของนางค่อนข้างมีความหมายเพราะมันไรซึ่งความเย็นชา แต่เต็มไปด้วยความอยากรูุ้
“ออกไปจากที่นี้ไง ” หยางไค่หัวเราะอย่างแผ่วเบา : “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการสืบทอดมรดกแห่งฟ้าสวรรค์นี้ พวกเราจะคงอยู่ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไปทำไม ? ”
“ใครบอกว่าว่าข้าไม่ต้องการ? ในเมื่อมาถึงตรงนี้ จะกลับไปมือเปล่าได้อย่างไร ?” ซู่เหยียนปล่อยรอยยิ้มที่อ่อนหวานออกมา
“ท่านหลอกข้า ?” สีหน้าของหยางไค่เคร่งขรึมขึ้นม และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่น : “ข้าเชื่อใจท่านมากกว่าสิ่งใด แต่ท่านกลับหลอกลวงข้าเช่นนี้ ”
“มันเป็นการทดสอบเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ทำไมต้องโมโหเช่นนีด้วยล่ะ ?” บุรุษเช่นพวกเจ้ามีความคิดที่กว้างขวางไม่ใช่หรือไง ? แต่ทำไมเพียงการการหยอกล้อเล็กๆน้อยของสตรีจึงต้องโกรธเคืองเช่นนี้ ?ซู่เหยียนเม้ริมฝีปากของนางไปมา และจ้องมองหยางไค่ด้วยแววตาที่ใสซื่อ
Previous Post
Next Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

error: Content is protected !!