ตอนที่ 155 การดูหมิ่น - Martial Peak
Aa+
Aa-
reset

ตอนที่ 155 การดูหมิ่น

杨开流炎การพึ่งพาพลังอำนาของกระดูกทองคำ ทำให้หยางไค่สามารถต้านทานต่อพลังแห่งมังกรเพลิงได้อีกครั้ง การต่อต้านในทุกๆครั้ง ทำให้เส้นชีพจรลมปราณและผิวหนังของเขาถูกเผาไหมซึ่งทำให้เขาได้รับความทุกข์ทรมาณยิ่งกว่าสิ่งใด
เขาไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถอดทนได้อีกนานเท่าใด แต่สิ่งที่สามารถยืนยันได้ คือการที่เขายังฝีนอดทนเช่นนี้ต่อไป ตัวเขาเองต้องถูกพลังที่ร้อนระอุเผาไหม้จนตายอย่างแน่นอน เพราะพลังแห่งความร้อนระอุจากร่างกายภายในเริ่มทวีความรุนแรงและดุดันขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันดุดันและรุนแรงจนร่างกายของเขามิอาจที่จะต้านทานได้อีกต่อไป
เมื่อครุ่นคิดไปมามันช่างเป็นเรื่องตลกสิ้นดี คนทีฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งพลังหยาง กลับถูกพลังหยางของตนเองเผาไหม้จนตาย มันคงเป็นเรื่องที่น่าตลกที่สุดในช่วงเวลาหลายพันปี หากกล่าวออกไปคงไม่ใครเชื่อมันอย่างแน่นอน
หากเปรียบเทียบกับหยางไค่ ซู่เหยียนต่างมีสภาพที่ไม่แตกต่างกัน หากไม่ใช่เพราะหยางไค่คอยกล่าวเรียกตอนที่สติของนางกำลังจะพร่ามัว นางคงไม่สามารถอดทนจนมาถึงตอนนี้
แต่ว่าสถานการณ์ของซู่เหยียนในตอนนี้เริ่มเลวร้ายมากขึ้นมากขึ้น
เป็นอีกครั้งนางดึงสติกลับมาได้ แต่ยังมิทันที่หยางไค่จะกล่าวเรียกนาง เขาพบว่าใบหน้าของนางได้เข้าใกล้ใบหน้าของเขาซึ่งในเวลานี้มันห่างกันไม่ถึงครึ่งคืบ เรือนร่างที่อยู่ในท่วงท่ากึ่งคุกเขาที่อยู่ตรงหน้า ลมหายใจที่หนักหน่วง ดวงตาเต็มไปด้วยความปราถนา กำลังยื่นมือข้างหนึ่งสัมผัสกับใบหน้าของตนเอง
มองเห็นอย่างชัดเจน ว่าการกระทำของนางไร้ซึ่งสติ แต่นางก็ยังต่อต้านการกระทำของตนเองตลอดเวลา มือที่สัมผัสใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่เยือกยเ็น แม้แต่นิ้วมือของนางยังถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งสีขาวบริสุทธุ์ มือเรียวเล็กของนางสั่นสะท้านไปมาอย่างน่าเวทนา
ในบางเวลา การกระทำของนางได้หยุดลง ใบหน้าแสดงออกด้วยความทุกข์ทรมาณ และทุกๆครั้ง มีเสียงคร่ำครวญดังออกมาจากลำคอของนางอย่างไม่หยุด
“ซู่เหยียน!” หยางไค่กล่าวเรียกนางอีกครั้ง เสียงนั้นแผ่วเบายิ่งกว่าครั้งไหนๆ หยางไค่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะจิตใจของเขากำลังส่งสัญญานบางอย่าง หรือเพราะเขารู้สึกอับอายและรู้สึกผิดตลอดเวลา
แต่การกล่าวเรียกเช่นนี้ ทำให้ดวงตาของซู่เหยียนมีสติขึ้นมาบ้าง นางมองเห็นการกระทำของตนเอง และมองเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความเห็นใจและความอ่อนโยน
“ข้าต้องการ ข้าไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป ” ซู่เหยียนกล่าวพูดที่ชัดเจนออกมาเป็นครั้งแรก
หยางไค่จ้องมองนาง และเผยให้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน เขายื่นมือออกไป และจับมือของซู่เหยียนเอาไว้แน่น
ในขณะที่ทั้งสองสัมผัสซึ่งกันและกัน พลังแห่งมังกรเพลิงและหงสาเมฆาเยือกเย็นที่อยู่ภายในร่างกายของพวกเขาทั้งสองต่างตะโกนคำรามออกมาอย่างดุดัน ร่างกายของพวกเขาทั้งสองกระตุกไปมา สติของพวกเขาฟื้นคืนมาอีกครั้ง
พวกเขาทั้งสองจ้องมองซึ่งกันและกัน หยางไค่ไม่ปล่อยมือ ซู่เหยียนไม่ปล่อยมือเช่นเดียวกัน สิบนิ้วสลับกันไปมาและประสานกันอย่างแนบแน่น
พวกเขาทั้งสองทราบดี เมื่อพวกเขาปล่อยมือซึ่งกันและกัน พวกเขาต้องทนทุกข์ต่อความทรมาณเมื่อเช่นเดิม
จิตใจของพวกเขาทั้งสองก่อเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมา ทำให้ร่างกายของพวกเขาทั้งสองค่อยๆอ่อนระทวย
“ไม่เสียใจใช่ไหม?” หยางไค่กล่าวถามด้วยเสียงหัวเราะที่แผ่วเบา เขากำมือของซู่เหยียนไว้แน่น มือน้อยๆของนางเย็นเฉียบยิ่งนัก แต่มันกลับอบอุ่นหัวใจ เมื่อเขากำมือของนางเอาไว้แน่นทำให้เขารู้สึกสบายและเพลิดเพลินยิ่งนัก
ใบหน้าของซู่เหยียนแดงก่ำ นางก้มหน้าลงต่ำและกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา : “ข้าพยายามอย่างสุดความสามารถของข้าแล้ว”
หยางไค่ออกแรงอย่างแผ่วเบา ซึ่งทำให้ร่างกายของซู่เหยียนลอยข้ามมา และนั่งอยู่บนอ้อมกอดของหยางไค่ มือข้างหนึ่งกำมือของนางเอาไว้ มืออีกข้างกอดรัดเอวของนางเอาไว้
ร่างหนึ่งร้อนระอุดั่งเปลวเพลิง ร่างหนึ่งเยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง เมื่อร่างทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกัน เสมือนว่ามันกำลังจะหลอมเป็นหนึ่ง ซึ่งความรู้สึกที่ก่อเกิดขึ้นในจิตวิญญานไม่สามารถที่จะอธิบายออกมาว่ามันเป็นเช่นไร
แม้ว่าสติของพวกเขาทั้งสองจะฟื้นคืนเหมือนเช่นเคย แต่ร่างกายของพวกเขาทั้งสองยังมีความรู้สึกเหมือนเช่นเคยนั้นคือความปราถนาที่แรงกล้าของพวกเขาทั้งสอง
“ซู่เหยียน !” หยางไค่กล่าวเรียกด้วยเสียงต่ำ สุ้มเสียงของเขาสั่นระรัวซึ่งเต็มไปด้วยความกังวล
เพราะนี้เป็นประสบการณ์ในครั้งแรกที่เขาพาลพบเจอ เขาเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไรจึงจะเป็นการดีที่สุด
ซู่เหยียนไม่พูดจา แต่นางค่อยๆซุกศีรษะของนางไปยังหัวไหล่ของหยางไค่
ทั้งสองอยู่ในความไม่เข้าใจเป็นเวลานาน ในที่สุดหยางไค่จึงยื่นมือของตนเอง โอบรัดไปยังลำคอของนางและค่อยๆวางตัวของนางลง
เมื่อร่างกายของซู่เหยียนอนราบกับพื้น นางค่อยๆหลับตาลง ขนตาของนางสั่นสะท้านไปมา สีหน้าแสดงออกด้วยความกังวลถึงขีดสุด สองมือของนางวางไปยังท้องน้อยอย่างแนบแน่น และกุมขมับอย่างเหนียวแน่น
“ไม่ต้องกังวล!” หยางไค่เผลอยิ้มออกมา เมื่อมองการกระทำของนาง ทำให้หยางไค่ค่อนคลายผ่อนคลายความกังวล เขากล่าวไปด้วยและถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวลงและจูบไปยังริมฝีปากที่อ่อนนุ่มของซู่เหยียน
เมื่อริมฝีปากสัมผัสซึ่งกันและกัน ร่างกายของซู่เหยียนแข็งทื่อในทันที
หยางไค่ค่อยๆสัมผัสไปที่มือของนาง เพื่อปลอดประโลมความกังวลของนาง นางจึงค่อยๆผ่อนปรนความกังวลของนางลงมา
หยางไค่จึงค่อยใช้ลิ้นเปิดฟันสีขาวดั่งหิมะของนางให้เปิดอ้า และกระตุกรัวลิ้นไปยังเข้าไปยังภายใน
เสียงครางที่มิอาจควบคุมดังสนั่นไปทั่วบริเวณตำหนักศักดิ์สิทธิ์ สองมือของซู่เหยียนค่อยๆยื่นออกมา และโอบรัดไปยังลำคอของหยางไค่ ซึ่งเป็นการตอบสนองที่เร่าร้อนอย่างยิ่ง
ซู่เหยียนในเวลานี้ ถูกความอ่อนโยนของหยางไค่โค่นล้มจิตใจที่เยือกเย็นของนางจนหมดสิ้น นางปราถนาความอบอุ่นจากหยางไค่ ทำให้นางไม่สามารถควบคุมตัวตนอของตนเองได้อีกต่อไป
เสื้อผ้าชั้นแล้วชั้นเล่าของนางถูกฉีกออก หยางไค่โยนมันไปยังด้านข้าง โดยมิอาจควบคุมอารมณ์ที่สับสนวุ่นวายของตนเองในตอนนี้
หลังจากที่เสื้อผ้าชั้นสุดท้ายของซู่เหยียนถูกฉีกออก ใบหน้าที่แดงก่ำของซู่เหยียนเริ่มเขียวคล้ำ มือหนึ่งปกป้องทรวงอกเอาไว้ และอีกมือหนึ่งปกปกบริเวณด้านล่างเอาไว้ ร่างกายของนางไ้ดสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง
ดวงตาที่แดงก่ำอย่างสุดขีดของหยางไค่จ้องมองร่างกายที่งดงามของนาง จิตใจของเขาก่อกำเนิดความรู้สึกที่เป็นเจ้าของขึ้นมา บริเวณกลีบบุพผาของซู่เหยียนเสมือนว่าได้รวบรวมสิ่งที่ดีที่สุดของใต้หล้าแห่งนี้ มันงดงามสมบูรณ์ไม่มีข้อบกพร่อมใดๆ แม้แต่น้อย
ผิวทุกส่วนของนางประกายด้วยความนุ่มนิ่มที่น่าหลงไหล ทรวงอกที่ถูกปกปิดด้วยมือข้างหนึ่งของนางไม่เล็กและไม่ใหญ่มากเกินไป มันเหมาะเจาะกับเรือนร่างของนาง หน้าท้องที่แบนราบของนางไร้ซึ่งชั้นไขมัน มันุน่มเนียนราวกับผ้าไหมที่น่าหลงไหลและน่าสัมผัส จนมิอาจควบคุมอารมณ์ของตนเอง
ในบางเวลา เสมือนว่าร่างกายของนางประกายด้วยสีแดงระเรื่อแห่งความหญิงสาวบริสุทธุ์และความปราถนาอันแรงกล้าของนาง
หยางไค่ยื่นมือจับไปยังแขนที่ปกปิดทรวงอกอันงดงามของนาง ซู่เหยียนปฏิเสธอย่างไม่คิดชีวิต ขนตาของนางสั่นระรัวด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีด
การกระทำที่ดำเนิการเพียงชั่วเสี้ยววินาที ทำให้หยางไค่เกิดความรู้สึกที่ถูกดูหมิ่นและถูกกระตุ้นที่คอยทิ่มแทงจิตใจของตนเอง
หากว่าในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเขาต้องได้รับการสืบทอดมรดกจากฟ้าสวรรค์พร้อมกับนาง
ตัวเขาเองจะมีโอกาสใกล้ชิดกับซู่เหยียนสตรีที่สูงศักดิ์และสูงส่งที่มีแต่ผู้คนชื่นชมและเคารพได้อย่างไร แต่ในตอนนี้ ไม่เพียงตนเองสามารถใกล้ชิดกับนาง แต่ยังได้ครอบครองนางอีกด้วย
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา หยางไค่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้อีกต่อไป ลำคอมีเสียงครางเสมือนสัตว์ป่าที่หิวกระหาย นางกอดรัดร่างกายของซู่เหยียนและยกร่างกายของนางขึ้นมาและให้นางนั่งลงไปยังสองขาของตน
“เจ้าอดทนหน่อยน่ะ ข้าได้ยินมาว่ามันอาจจะเจ็บปวดเล็กน้อย !” หยางไค่กล่าวตักเตือนนาง
ซู่เหยียนพยักหน้าอย่างช้าๆ โดยไม่กล้าลืมตาของนาง
ภายใต้การชักจุงของหยางไค่ ร่างกายของนางค่อยๆไถลลงไปยังด้านล่าง
เมื่อร่างกายของนางถูกความเป็นชายที่แข็งแกร่งทิ่มแทงเข้าไป ความรู้สึกที่เจ็บปวดและชาซ่านแพร่กระจายไปยังร่างกายของนาง ร่างกายของซู่เหยียนโอนเอนไปมา ในที่สุดนางได้ทิ้งตัวนั่งลงไปยังต้นขาของหยางไค่
ในครั้งนี้ มันช่างเจ็บปวดยิ่งนัก เสียงครางแห่งความเจ็บปวดดังออกมาจากปากของซู่เหยียน แต่เพียงพริบตานางได้เม้มปากอดทนต่อความเจ็บปวดเอาไว้
นางใช้สองมือของนางกอดรัดลำคอของหยางไค่ ร่างกายของนางกระตุกไปมาและสั่นสะท้าน ดวงตาทั้งสองเอ่อล้นด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด
ในเวลานี้ นางเกลียดหยางไค่จนอยากทุบตีเขาให้ตายคามือ
สิ่งใดที่เรียกว่าเจ็บปวดเล็กน้อย ?มันเป็นความเจ็บปวดที่แทบจะฉีกหัวใจของนางเป็นชิ้นๆ !
นางไม่ขยับ หยางไค่เองก็มิกล้าที่จะขยับ พวกเขาทั้งสองอยู่ในท่วงท่าเช่นนี้เป็นเวลานาน
ผ่านไปเนินนาน ความรู้สึกเจ็บปวดเช่นนั้นจึงหายไป แต่มันกลับถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกที่หอมหวานและความว่างเปล่าของร่างกาย มันเป็นความรู้สึกที่นางไม่เคยพบเจอ เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางอยากที่จะเคลื่อนไหวร่างกายแต่ก็มิกล้าที่จะกระทำ
“เคลื่อนไหวผสานรวมเป็นหนึ่ง !” เสียงที่แผ่วเบาของหยางไค่ดังแว่วขึ้นมา จิตใจของซู่เหยียนสั่นไหว นางรีบลืมตาของนางและจ้องมองเขา และพบว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าแม้ว่าดวงตาของเขาจะกระหายเช่นสัตว์ป่า ดวงตาของเขาแดงก่ำ
แต่ภายในดวงตากลับประกายด้วยนิ่งสงบ และยังเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดใจและความสงสาร
จิตใจของนางก่อเกิดความรู้สึกที่ถูกปลอบประโลม ซู่เหยียนพยักหน้า และหมุนเวียนเคล็ดวิชาของตนเองพร้อมๆกัน
เมื่อเคล็ดวิชาหมุนเวียน หยางไค่และซู่เหยียนส่งเสียงครางออกมาพร้อมๆกัน พลังแห่งมังกรเพลิงทีร้อนระอุและพลังแห่งหงสาเมฆาที่เยือกเย็นถูกปลอบประโลมซึ่งกันและกัน ทำให้ความทุกข์ทรมาณหายไปในทันที และถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกที่สบายและปลอดโปร่ง
ร่างกายที่เชื่อมประสานกับของพวกเขา แนบชิดกันอย่างแนบแน่น พลังลมปราณของทั้งคู่ไหลเวียนถ่ายทอดซึ่งกันและกันและผสมผสานเป็นหนึ่งเดียว
แม้ว่าท่วงท่าของพวกเขาทั้งสองจะใกล้ชิดอย่างแนบแน่น แต่ว่าใบหน้าของพวกเขาแสดงออกอย่างเคร่งขรึม
พวกเขาทั้งสองใช้จิตใจเชื่อมโยงพลังลมปราณและหมุนเวียนพลังลมปราณ โดยไม่มีความคิดอื่นๆ
เมื่อร่างกายของพวกเขาทั้งสองผสานรวมเป็นหนึ่ง หยางไค่สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งของซู่เหยียน ! พลังลมปราณแห่งปราณจิตเย็นของนางเมื่อเทียบกับพลังลมปราณที่อยู่ในเส้นชีพจรลมปราณของเขา มันยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งกว่าเขาถึงหลายร้อยเท่า เมื่อเทียบกับนาง ตนเองเปรียบเสมือนทารกน้อยคนหนึ่งที่กำลังหัดเดิน มันอ่อนแออย่างถึงที่่สุด
ซู่เหยียนทราบดีถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นในขณะที่นางหมุนเวียนเคล็ดวิชาของนาง นางไม่กล้าที่จะหมุนเวียนด้วยความรวดเร็ว ทุกการกระทำขึ้นอยู่กับหยางไค่เป็นหลัก
เมื่อเคล็ดวิชาหมุนเวียน ไม่เพียงทำให้พวกเขาทั้งสองสัมผัสได้ถึงสภาพร่างกายของกันและกัน ยังทำให้จิตวิญญานของทั้งสองผสานรวมเป็นหนึ่ง ความไม่สนิทสนมได้ถูกทำลายในทันที ความรู้สึกของทั้งคู่ที่มีต่อกันในเวลานี้เสมือนว่าทั้งคู่เป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของกันและกัน ความรู้สึกเช่นนี้เป็นความรู้สึกโดยธรมมชาติ โดยไม่มีการบีบบังคับแม้แต่น้อย
เมื่อเวลาผ่านไป มังกรเพลิงในร่างของหยางไค่ หงสาเมฆาเยือกเย็นในร่างของซู่เหยียนค่อยๆมลายหายไป พลังอำนาจแห่งความแข็งแกร่ง ไม่ได้อยู่ในเส้นชีพลมราปราณของทั้งคู่อีกต่อไป และไม่ได้อยู่ในจุดตันเถียนของพวกเขา และไม่รู้ว่ามันไปอยูในส่วนใดของร่างกาย
ความสามารถของมัน คือการบีบบังคับให้หยางไค่และซู่เหยียนฝึกฝนวิชายุทธุ์แห่งหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง ในตอนนี้พวกเขาทั้งสองกำลังฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ พวกเขาต่างทำตามคำสั่งของมังกรเพลิงและหงสาเมฆาเยือกเย็นจนลุล่วง
แต่หยางไค่รู้สึกว่าพลังอำนาจที่แข็งแกร่งของพวกมันไม่ได้มลายหายไป มันเพียงซ่อนเร้นอยู่ในส่วนหนึ่งของร่างกายที่พวกเขาไม่สามารถสัมผัสได้
เคล็ดวิชาหยินหยานรวมเป็นหนึ่งยังหมุนเวียนต่อไป พลังลมปราณหยางและปราณจิตเย็นของหยางไค่แทนที่พลังแห่งมังกรเพลิงและหงสาเมฆาเยือกเย็น ซึ่งกำลังผสานรวมเป็นหนึ่งในเส้นชีพจรลมปราณของพวกเขาทั้งสอง
แต่เพราะความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งสองห่างเหินกันมาก หลังจากที่พลังลมปราณทั้งหมดของหยางไค่ผสานไปยังร่างกายของหยางไค่ มันเป็นเสมือนคลื่นมหาสมุทรที่อ่อนแอที่พุ่งเข้าสู่มหาสมุทรที่กว้างไกล มันค่อยๆจางหายไปท่ามกลางมหาสมุทรที่ยิ่งใหญ่
การค้นพบนี้ทำให้หยางไค่ค่อนข้างอึดอัดใจ
“ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบ !” จิตใต้สำนึกของหยางไค่มีเสียงอันอ่อนโยนดังขึ้นมา เสมือนว่านางเข้าใจความคิดของหยางไค่ และกล่าวปลอบโยนเขาอย่างจริงใจ
หยางไค่นิ่งเงียบโดยไม่กล่าวตอบ เขาระเบิดหยดน้ำพลังลมปราณหยางที่อยู่ในจุดตันเถียนทั้งหมด 10 หยด
พลังลมปราณหยางไค่ที่อยู่ในเส้นชีพจรเดือดพล่านและหมุนเวียนอย่างดุเดือด และพุ่งผสานเข้าไปยังภายในร่างกายของซู่เหยียน
“อ๋า……….”ซู่เหยียนครางออกมาด้วยความตื่นตะลึง นางไม่รู้ว่าทำไมหยางไค่ถึงระเบิดพลังลมปราณหยางที่แข็งแกร่งเช่นนี้ออกมาอย่างกะทันหัน จากเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 8 ของเขา เป็นไมได้ที่เขาจะมีพลังลมปราณที่มากมาเช่นนี้
เสียยงครางด้วยความตื่นตะลึงเพิ่งดังออกไป พลังลมปราณที่แข็งแกร่งเช่นเมื่อสักครู่พ่งเข้าสู่ร่างกายของซู่เหยียนอีกครั้ง
ตามมาด้วยพลังลมปราณที่แข็งแกร่งอีกระลอก
จากการะระเบิดหยดน้ำพลังลมปราณหยางทั้งหมด 30 หยด มันถึงขีดจำกัดสูงสุดของเส้นชีพลมปราณของหยางไค่ ความรู้สึกที่เจ็บปวดเริ่มแผ่ซ่านเข้ามา
หากว่าเขายังระเบิดหยดน้ำพลังลมปราณหยางที่มากกว่านี้อีก 1 หยด เส้นชีพจรลมปราณของเขาคงไม่สามารถรับพลังลมปราณที่แข็งแกร่งนี้
หากไม่ใช่เพราะเคล็ดวิชาหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง หยางไค่คงไม่กล้ากระทำอย่างผลีผลามเช่นนี้ หยดน้ำพลังลมปราณหยางทุกหยดล้วนเป็นการหลอมละลายจากพลังหยางที่แข็งแกร่ง การะเบิดหยดน้ำพลังลมปราณหยาง 1 หยด สามารถทำให้เส้นชีพจรลมปราณของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังลมปราณ เพียงแค่การระเบิดหยดน้ำพลังลมปราณหยาง 3 หยดพร้อมๆกัน มันอาจทำให้เส้นชีพลมปราณของเขาได้รับบาดเจ็บอย่างมหันต์
แตในตอนนี้พลังลมปราณทั้หงมดได้กักอยู่ในร่างกายของตนเองและซู่เหยียน จากความแข็งแกร่งที่สูงส่งของนาง ทำให้เขาสามารถทนต่อพลังลมปราณหยางที่ระเบิดออกมาจากหยดน้ำพลังลมปราณหยางทั้ง 30 หยด
Previous Post
Next Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

error: Content is protected !!