ตอนที่ 44 ซู่เหยียน - Martial Peak
Aa+
Aa-
reset

ตอนที่ 44 ซู่เหยียน

c9220c581f89114f18d7c20b5d26dd69

“เมื่อฝึกฝนวิชายุทธุ์แห่งคัมภีร์ปีศาจ ทำให้อารมณ์ของศิษย์น้องเปลี่ยนแปลงไป ความแข็งแกร่งของเขายังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แม้แต่ศิษย์พี่ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา ศิษย์น้องคิดว่าความแข็งแกร่งของตนเองได้ก้าวหน้าเช่นนี้ ประมุขจะรักและกล่าวชมเขาเฉกเช่นศิษย์พี่ แต่ในที่สุดประมุขได้รับรู้เรื่องราวการฝึกยุทธุ์แห่งคัมภีร์ปีศาจ ทำให้ประมุขทุกข์ทรมาณใจยิ่งนัก ในที่สุดประมุขตัดสินใจที่จะทำลายวิชายุทธุ์ของเขา แต่ยังมิทันที่ประมุขจะลงมือ ศิษย์น้องได้ทราบเรื่องการทำลายวิชายุทธุ์ของเขาเสียก่อน เรื่องนี้ทำให้จิตใจของศิษย์น้องถูกกลืนกินจากปีศาจที่ชั่วร้ายจนหมดสิ้น ในที่สุดเขาได้กลายเป็นปีศาจที่ชั่วร้ายอย่างแท้จริง ค่ำคืนหนึ่งของหลาย 10 ปีก่อน หอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวมีเลือดไหลเป็นสายน้ำ !! ศิษย์พี่ใหญ่ตายอย่างน่าอนาทในทันที ศิษย์น้องกลัวการลงโทษจากความผิดที่เขาก่อเอาไว้จึงได้หลบหนีออกไป !! ”

 

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ซู่มู่เงียบอย่างกะทันหัน เขาหันหน้าไปรอบๆ มองเห็นทุกคนหอบหายใจด้วยความประหม่าและตื่นเต้น ก่อนจะกล่าวต่อด้วยความพึงพอใจ : “ค่ำคืนนั้น ผมของประมุขแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว ศิษย์ทั้งสองที่เขาภาคภูมิใจที่สุดตายหนึ่งคนและอีกคนกลายเป็นปีศาจ มันส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาจนมิอาจพรรณนาได้”

 

“จากวันนั้นเป็นต้นมา ประมุขอยู่อย่างสันโดษ มีไม่กี่คนที่เคยเห็นเงาของเขา คนส่วนใหญ่คิดว่าจิตใจของเขาคงสลาย เขาได้เข้าสู่วถีธรรมะกลายเป็นนักบวช แต่ไม่คาดคิดว่าหลายปีต่อมา ประมุขได้ปรากฏตัวอีกครั้ง และปรากฏตัวอยู่บริเวณรัศมีแห่งนี้ เขาไดจับตัวศิษย์ที่ 2 ด้วยมือของเขาเอง ก่อนจะขังและผนึกเขาไว้ในคุกคุมขังมังกร !! ”

 

หัวใจของหยางไค่สั่นระรัวอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นเขาคิดถึงคำกล่าวสุดท้ายของผู้อาวุโสสิบเอ็ด

 

“ข้าไม่ได้มา เพื่อดูสมบัติ ข้ามาเพื่อพบใครบางคน”

พบกับใคร ? หรือจะเป็นคนที่ถูกผนึกไว้ในคุกคุมขังมังกรหรือว่าผู้อาวุโสสิบเอ็ดคือ…………….

 

ซู่มูกล่าวต่อ : “แต่หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ประมุขไม่สามารถก้าวข้ามเขตแดนได้อีก เขาหยุดในเขตแดนนี้ หากปมในใจไม่ได้รับการแก้ไข ชั่วชีวิตนี้คงไม่มีวันอยู่อย่างมีความสุข ”

 

หลังจากที่กล่าวจบ ทุกคนต่างถอนหายใจและกล่าวกระซิบไปมา พวกเขาต่างรู้สึกสงสารกับสิ่งที่ประมุขแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวต้องพบเจอ พวกเขาต่างสบทด่าศิษย์คนที่ 2 ด้วยความรู้สึกเกลียดชัง !!

 

อารมณ์ของหยางไค่ก็อยู่ในความระส่ำระส่ายเช่นเดียวกัน ผู้อาวุโสสิบเอ็ดจะเป็นประมุขแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าเรื่องราวที่ซู่มู่กล่าวเป็นความจริง มันมีความเป็นไปได้ที่ค่อนข้างสูง

 

ทันใดนั้นเอง เสียงที่คึกคักดังมาจากด้านหน้า หยางไค่เงยหน้ามองด้านหน้า เขาพบว่าป่าแห่งนี้เป็นที่โล่งขนาดใหญ่และน้ำเสียงที่ดังแว่วมาค่อยข้างที่จะเสียงดัง เสมือนว่าสถานที่แห่งนี้เป็นตลาดขนาดใหญ่ บริเวณใกล้เคียงเต็มไปด้วยศิษย์ทั้ง 3 สำนัก มีโต๊ะไม้ตั้งเป็นซุ้มต่างๆเป็นจำนวนมาก สิ่งของอัญมณีมีค่าต่างๆ ต่างถูกวางลงไปที่ซุ้มเหล่านั้น ทำให้คนที่พบเห็นไม่กล้าที่จะกระพริบตา

 

ด้านข้างยังมีกระท่อมไม้กว่า 10 หลัง กระท่อมไม้ถูกสร้างอย่างเรียบง่าย มีหลังเล็กหลังใหญ่กระจายไปทั่ว กระท่อมหลังเล็กน่าจะให้คนพักอาศัย กระท่อมหลังใหญ่คงเป็นกระท่อมที่ใช้หลบลมหลบฝน เพราะมันสามารถบรรจุคนได้เป็นจำนวนมาก

 

อาจเป็นเพราะตอนนี้อากาศค่อนข้างร้อนจัด ดังนั้นศิษย์ทั้ง 3 สำนักต่างนำโต๊ะต่างเข้ามาไว้ในร่มไม้

 

“พวกเรามาถึงแล้ว ” เป้าหมายของซู่มู่คือการพาหยางไค่มายังสถานที่แห่งนี้ เพื่อให้เขารับรู้ว่ามีสถานที่เช่นนี้ดำรงอยู่ หลังจากนี้หากว่าเขามีสิ่งที่ต้องการเขาจะสามารถมายังที่นี้เพื่อซื้อมัน

 

“เป็นสถานที่ไม่เลว ” หยางไค่มองไปยังฝูงชนที่เดินควักไขว่ไปมาอย่างคึกคัก เผยให้เห็นใบหน้าทื่ตื่นเต้น

 

ซู่มู่กล่าวด้วยเสียงหัวเราะ : “แน่นอนอยู่

 

แล้ว ในสถานที่แห่งนี้มีสิ่งของทุกอย่างที่ฝึกยุทธุ์ระดับต่ำเช่นพวกเราต้องการ นอกจากนั้นยังไม่ต้องกังวลถึงความปลอดภัยของมัน ในสถานที่แห่งนี้ ศิษย์ทั้ง 3 สำนักต่างประจำการอยู่ที่นี้เป็นจำนวนมาก เพื่อรักษาความปลอดภัย เห็นกระท่อมไม้หลังนั้นหรือเปลา นั้นก็คือที่พำพักของศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว พี่สาวของข้าก็อยู่ในนั้น ! ”

 

“พี่สาวของเจ้า ?” หยางไค่มองไปที่ซู่มู่ ทันใดนั้นหยางไค่นึกถึงเหตุการณ์ที่หยางไค่มาสร้างปัญหาให้เขา ตอนนั้นซู่มู่กล่าวว่าเขามีพี่สาวคนหนึ่งเป็นศิษย์สาวกหลักที่เก่งกล้าของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว ใช่แล้ว ศิษย์สาวกเหล่านั้นคือความหวังในอนาคตของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว

 

ซู่มู่กล่าวเตือนทันที : “แต่ศิษย์พี่หยางข้าขอเตือนไว้ก่อน ห้ามคิดอะไรกับพี่สาวของข้า !! ”

 

หยางไค่หัวเราะอย่างแผ่วเบา

 

ซู่มู่กล่าวต่อ : “แม้ว่าศิษย์พี่หยางต้องการการเกี้ยวนาง ศิษย์พี่หยางคงไม่มีความสามารถเอาชนะใจของเธอได้ ”

 

“พี่สาวของเจ้าร้ายกาจ ? ”

 

“แน่นอน นางอยู่ในเขตแดนก่อเกิดลมปราณขั้นที่ 3 ศิษย์ในรุ่นของนางไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเธอแม้แต่คนเดียว !! ”

 

หยางไค่ยิ้มอย่างแผ่วเบา เป็นศิษย์ในรุ่นยุวชนรุ่นเยาว์ สามารถฝึกฝนถึงเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณ ยากจะพบเจอยิ่งหนัก เขตแดนที่เหนือกว่าเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณ และอยูในจุดสูงสุดคือเขตแดนเทพสวรรค์ นั้นคือเขตแดนของประมุขแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว

 

“พี่สาวของเจ้าร้ายกาจเช่นนี้ ทำไมเจ้าถึงอยู่ในเขตแดนกายาเริงอารมณ์ล่ะ ?” หยางไค่กล่าวถามด้วยความสงสัยต่อซู่มู่

 

เสมือนว่าถูกเหยียบย่ำบนแผลที่กำลังเจ็บหนัก ใบหน้าของซู่มู่แสดงออกอย่างเขิลอาย ก่อนเขาจะกล่าวอย่างตะกุกตะกัก : “เพราะว่าข้ามัวแต่เล่น ไม่ตั้งใจไงล่ะ แต่วางใจได้ หลังจากนี้ข้าจะตั้งใจฝึกฝนวิชายุทธุ์ ข้าไม่ยอมปล่อยให้ศิษย์ทดลองเช่นท่านอยู่เหนือกว่าข้าอย่างแน่นอน !! ”

 

หยางไค่พยักหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจิตใจแห่งความต้องการเอาชนะของซู่มู่กำลังจุดประกายอย่างรุนแรง

 

“ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปพบกับพี่สาวของข้า เมื่อมีการปกป้องจากนาง เราจะสามารถค้าขายแลกเปลี่ยนในสมาคมใต้ดินวายุทะมึนได้ง่ายขึ้น ”

 

เมื่อกล่าวว่าจะไปพบพี่สาวของซู่มู่ ใบหน้าของกลุ่มคนทั้งหมดต่างแสดงออกอย่างซับซ้อนและแข็งแกร่ง แม้แต่ซู่มู่ยังจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ของเขาให้เรียบร้อย ก่อนจะปัดฝุ่นละอองออกจากเสื้อผ้าของเขาอีกครั้ง

มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ว่าซู่มู่ค่อนข้างเกรงกลัวพี่สาวคนนี้ หรือว่าเขาอาจจะเคารพนับถือพี่สาวคนนี้ก็เป็นได้

 

“พี่สาวของซู่มู่ชื่อว่าอะไร ?”ห ยางไค่กล่าวถามหลี่หยุนเทียนด้วยเสียงต่ำ

 

“ซูเหยียน !! ”

 

ชื่อของนางช่างไพเราะยิ่งนัก แต่ไม่รู้ว่านางจะเป็นบุคคลประเภทใด

 

หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาได้มาถึงด้านนอกของกระท่อมไม้แห่งหนึ่ง หยางไค่เงยหน้ามองเพื่อสังเกตสภาพแวดล้อมของกระท่อม ไม่เพียงแต่กระท่อมไม้หลังนี้ถือแขวนป้ายของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ย กระท่อมไม้หลังอื่นๆต่างแขวนป้ายของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวเช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่ากระท่อมเหล่านี้คงจะเป็นที่อาศัยของศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว

 

ซู่มู่รู้สึกตื่นเต้นและประหม่าเล็กน้อย เขาสูดลมหายใจเข้าอย่างแผ่วเบา ขึ้นบันไดช้าๆ จากนั้นจึงเคาะประตูเบาๆหลายครั้ง ก่อนจะส่งเสียงแมวที่แปลกประหลาดออกไป : “ท่านพี่ ข้ามาเยี่ยมท่านแล้ว ! ”

 

หลี่หยุนเทียนแอบหัวเราะกับการกระทำของซู่มู่ จนหัวไล่สั่นไปมา แม้แต่หยางไค่ก็มิอาจกลั้นเสียงหัวเราะของตนเองได้

 

ซู่มู่รับรู้ปฏิกิริยาของคนที่อยู่ด้านหลัง เขาทนไม่ไหวจึงหันหลังถลึงตาใส่พวกเขาด้วยความโกรธ

 

“เข้ามา !!”ด้านในมีเสียงที่เยือกเย็นดังแว่วออกมา เสียงนั้นสดใสบริสุทธุ์ดั่งขุนเขา ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกสดชื่นอย่างยิ่ง

 

ซู่มู่โบกมือเรียกคนอื่นๆ จากนั้นจึงเดินเข้าไป

 

เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในกระท่อม หยางไค่หันไปมองรอบๆบริเวณ เขาพบว่ากระท่อมแห่งนี้เรียบง่ายยิ่งกว่ากระท่อมของเขา ไม่มีสิ่งของอยู่ด้านใน แต่ว่า เมื่อเข้าสู่กระท่อม เสียงรบกวนจากด้านหน้าได้ถูกปิดกั้นในทันที ทำให้ภายในกระท่อมกลายเป็นสถานที่เงียบสงบ

 

ภายในกระท่อมต้องมีความลึกลับบางอย่าง มิฉะนั้นไม่ส่งผลที่ชัดเจนเช่นนี้อย่างแน่นอน

 

ในขณะที่กำลังสังเกตกระท่อม ซู่มู่ได้กล่าวร้องด้วความโหยหวนอย่างกะทันหัน หยางไค่จ้องมองออกไป เขามองเห็นซู่มู่ที่กำลังหมอบคลานและกุมศีรษะอยู่บนพื้น ด้านหน้าของซู่มู่ มีหญิงสาวนางหนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าสีขาวดุจดั่งหิมะ ใบหน้าของเธอแสดงออกอย่างเยือกเย็น

 

หญิงสาวคนนี้มีผมสีดำขลับที่งดงาม มีคิ้วที่โค้งงอนดั่งจันทร์เสี้ยว ดวงตาคู่โตที่ประกายด้วยความสดใส จมูกที่สูงโด่งรับกับรูปหน้าที่งดงาม พวงแก้มสีชมพู ริมฝีปากเรียวเล็กที่ละเอียดอ่อน ผิวที่ขาวเนียนเสมือนหยกหิมะที่อิ่มเอิบ มีเรือนร่างที่สง่างาม ทุกสิ่งอย่างเป็นเสน่ห์ที่มิอาจกล่าวได้หมด

 

แต่ว่า อารมณ์ของเธอกลับเยือกเย็น แม้แต่อุณหภูมิของห้องยังตกอยู่ในความเย็นยะเยือก

 

ทันใดนั้น หญิงสาวคนนี้กำลังลดตัวลงไปที่พื้น จ้องมองซู่มู่ด้วยสายตาที่เยือกเย็น ไม่ต้องกล่าวอะไรไปมากกว่านี้ หญิงสาวคนนี้ก็คือซู่เหยียน

 

“เจ้ารู้ไหมทำไมข้าต้องตีเจ้า?” ซู่เหยียนกล่าวถาม

 

ซู่มู่ส่ายหัว เมื่อมองเห็นสายตาที่ดุดันของพี่สาว เขาได้พยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว

 

“ไหน พูดมาซิ !! ” เสียงของซูเหยียนค่อนข้างเบา แต่มันกลับกลิ่นอายที่ไม่สามารถต่อต้านได้ ในที่สุดหยางไค่ก็ทราบว่าทำไมซู่มู่จึงหวาดกลัวพี่สาวของเขาเช่นนี้ ใครมีพี่สาวเช่นนี้ คงน่าอึดอัดใจ แม้ว่านางจะเป็นหญิงงามที่ไร้ฐิติก็ตาม

Previous Post
Next Post

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

error: Content is protected !!